น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา เหมือนกัน?
ผมเห็นหลายๆคนชอบสับสนระหว่างน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา อาจเป็นเพราะมีชื่อเรียกคล้ายๆกัน และลักษณะแคปซูลที่บรรจุก็มีความคล้ายกันอีก นั่นคือ แคปซูลจะมีลักษณะใสๆ เหมือนมีน้ำมันอยู่ข้างใน ขนาดจะแตกต่างกันบ้าง
แต่โดยปกติ น้ำมันปลาจะมีขนาดของแคปซูลที่ใหญ่กว่า นั่นทำให้เวลาซื้อมารับประทาน บางคนจึงอาจคิดว่าเป็นอาหารเสริมตัวเดียวกัน และทานได้เหมือนกัน
โดยประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ผู้บริโภคมักจะเข้าใจว่า น้ำมันตับปลาจะช่วยให้เจริญอาหาร เพราะสังเกตุได้จากเวลามีคนมาซื้อ ไม่ว่าจะซื้อกินเองหรือซื้อไปให้ลูกๆ มักจะบอกว่า ช่วงนี้ทานข้าวไม่อร่อย หรือ ลูกๆไม่ทานข้าว จะมาซื้อน้ำมันตับปลา ไปให้กิน เพื่อจะได้กินข้าวได้มากขึ้น พอบอกว่าน้ำมันตับปลาหมด ก็จะบอกว่า เอาน้ำมันปลาก็ได้
จากข้อมูลในลักษณะนี้ จะเห็นว่า ยังมีคนอีกมากที่ยังคิดว่า น้ำมันตับปลากับน้ำมันปลา เหมือนกัน กินแทนกันได้ ซึ่งจริงๆแล้วมันเหมือนกันหรือไม่
วันนี้ผมมีคำตอบมาให้ผู้อ่านครับ
น้ำมันตับปลา ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นน้ำมันจากตับปลา เป็นน้ำมันที่ได้มาจากปลา เหมือน กับน้ำมันปลานั่นละครับ เพียงแต่ คนละส่วนกัน
น้ำมันมันตับปลา จะประกอบไปด้วยสารอาหารหลักๆ ดังนี้ คือ วิตามินเอ วิตามินดี และ กรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิด โอเมกา 3 ซึ่งจะประกอบไปด้วย ดีเอชเอ และ อีพีเอ ซึ่งโดยปกติแล้ว ปลาที่ถูกนำมาสกัดเป็น น้ำมันตับปลา ก็จะเป็นปลาทะเล เช่น ปลาคอด ซึ่งอาหารเสริมน้ำมันตับปลา ในปัจจุบัน มีความกังวลในเรื่องปริมาณวิตามินเอ และวิตามินดี ที่เป็นส่วนประกอบ
พบว่า หลายๆยี่ห้อเป็นวิตามินที่สังเคราะห์ขึ้น และ อัตราส่วนของวิตามินเอและวิตามินดี ก็มีส่วนสำคัญต่อการออกฤทธิ์ในร่างกาย ซึ่งถ้ามากไปก็อาจจะเห็นผลเสียต่อร่างกายได้
ส่วนอัตราส่วนที่เหมาะสมของวิตามินเอและวิตามินดี ในน้ำมันตับปลา ควรเป็นอย่างไร ผมจะนำมาขยายความให้ทราบในบทความต่อไปครับ
น้ำมันปลา เป็นน้ำมันที่ได้จากส่วนหนัง ส่วนหัว ของปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ซึ่งสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำมันปลาหลักๆ ก็จะเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิดโอเมกา 3 เช่น ดีเอชเอ อีพีเอ ซึ่งเมื่ออยู่ในรูปแบบอาหารเสริมยี่ห้อต่างๆ ส่วนใหญ่จะไม่มี วิตามินเอ และ วิตามินดี เป็นส่วนประกอบ และสัดส่วนของดีเอชเอ และ อีพีเอ ก็มีความสำคัญต่อการออกฤทธิ์ต่อร่างกายเช่นกัน
ซึ่งสัดส่วนในน้ำมันปลาที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร ผมจะนำมาขยายความให้ทราบอีกครั้งครับ
สิ่งที่เป็นกังวล สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดว่า น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา เหมือนกันนั้น ก็จะกังวลตรงที่ รับประทานน้ำมันตับปลาที่อยู่ในรูปแบบอาหารเสริมเข้าไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ซึ่งถ้าเป็นน้ำมันตับปลาที่ได้จากธรรมชาติจริงๆ ความกังวลที่จะเกิดจากปริมาณวิตามินเอ และ ดี ที่มากเกินไป และอาจจะสะสมในร่างกาย จนก่อให้เกิดพิษจากวิตามินเอ นั้น ก็จะไม่กังวลเท่าไร (วิตามินเอ และ วิตามินดี เป็นวิตามินที่สะสมอยู่ในร่างกายได้)
แต่อาหารเสริมพวกน้ำมันตับปลา หลายๆ ยี่ห้อ ไม่ได้มีวิตามินเอและวิตามินดี มาจากธรรมชาติทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นวิตามินที่ได้จากกการสังเคราะห์ทางเคมี และสัดส่วนของวิตามินเอและวิตามินดี ที่อยู่ในอาหารเสริมน้ำมันตับปลายี่ห้อต่างๆ ก็มีสัดส่วนที่มาก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเพิ่มได้อีก
หรือจำง่ายๆ คือ น้ำมันตับปลา คือ วิตามินเอกับวิตามินดี ส่วนน้ำมันปลา คือ โอเมกา
More Science Less Marketing
ภก.พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี