แอลฟา ไลโปอิก แอซิด (Alpha lipoic acid)

วิตามินเร่งผิวขาว อาหารเสริมเร่งผิวขาว เป็นชื่อที่ผู้เขียนเชื่อว่า หลายๆคน ที่ชอบรับประทานอาหารเสริมบำรุงผิว อาจต้องเคยได้ยินชื่อนี้แน่ๆ หรือบางครั้งจะเรียกชื่อย่อว่า เอแอลเอ (ALA) เพราะว่า ผู้ขายอาหารเสริมชนิดนี้ นำไปใช้เรียก แอลฟา ไลโปอิก แอซิด เพื่อใช้ในการดึงดูดให้มีการขายสินค้าได้ แต่ความจริงแล้วแอลฟา ไลโปอิก แอซิด ไม่ได้เป็นวิตามินหรืออาหารเสริมเร่งผิวขาวแต่อย่างใด เพียงแต่ตัวมันเองทำงานร่วมกับ สารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ที่ช่วยในการบำรุงผิวเท่านั้น เช่น วิตามินซี กลูตาไธโอน โคเอนไซม์ คิว 10 เป็นต้น

กรดแอลฟาไลโปอิค เป็นกรดไขมัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติพิเศษคือ เป็นสารที่สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้ดี  โดยร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือภาวะอ่อนแอ ทำให้การสร้างลดลง สารนี้สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้สูง  สามารถพบ ALA ได้ในมันฝรั่ง เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ ยีสต์ ผักโขม ผักป๋วยเล้ง และตับ

 

ประโยชน์

มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

จับตัวกับโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู ปรอท แล้วขับออกจากร่างกาย

ช่วยให้ตับขับล้างสารพิษตกค้าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในร่างกาย

ช่วยลดอาการเสื่อมของปลายประสาท ได้แก่ อาการปวด ปวดแสบ ปวดร้อน และอาการชาในผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก

แอลฟาไลโปอิก แอซิด มีขนาดโมเลกุลและภาวะแขนคู่ ที่เคลื่อนตัวได้คล่อง และพร้อมให้อิเลคตรอนได้ง่าย ทำให้ละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระสูง อีกทั้งช่วยส่งเสริม หรือช่วยทำให้สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆเช่นวิตามิน C, กูลตาไธโอน และ E กลับอยู่ในสภาวะเดิมหลังจากกำจัดอนุมูลอิสระแล้วเพื่อให้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระได้ต่อไปอีกหรือเป็นสารทดแทนกรณีสารต้านอนุมูลอิสระใดขาดแคลนไป มีบทบาทได้ทั้งภายในเซลล์ และที่เยื่อหุ้มเซลล์

 

ใครบ้างควรทาน

ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมช่วยบำรุงผิวตัวอื่นๆ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2

ผู้ที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ที่ต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ

 

ปริมาณที่แนะนำ

ขนาดที่แนะนำ 50 มิลลิกรัม – 600 มิลลิกรัมต่อวัน

 

ข้อควรระวัง ระวังในผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากแอลฟาไลโปอิก แอซิด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ ฉะนั้น การรับประทานร่วมกับยาเบาหวาน อาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมากได้ และไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร

ภก.พงษ์ศักดิ์ สง่าศรี